..แหล่งเรียนรู้ด้านการสื่อสารอีกแห่งหนึ่งของข้าพเจ้า HS7ZRF

 

 

เว็บบอร์ดมุมมองเรื่องสุขภาพลดความอยาก = ลดความอ้วน แล้วไม่อ้วนเอาเท่าไหร ?
ผู้เขียน : พีรวิช วรรณทอง   หัวข้อ : ลดความอยาก = ลดความอ้วน แล้วไม่อ้วนเอาเท่าไหร ?อ่าน 1758 / ความคิดเห็น 0
รูปประจำตัว
พีรวิช วรรณทอง
  • 1 กระทู้ที่เริ่มไว้
  • 5 สิงหาคม 2554
รูปไอคอน
หัวข้อ : ลดความอยาก = ลดความอ้วน แล้วไม่อ้วนเอาเท่าไหร ?
10/8/2554 1:44:00

 

ทำไมอ้วน

            "อ้วน" เป็นคำที่หยาบคายมากสำหรับหลายๆ คน ทุกวันนี้คนอ้วนมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นจนสามารถพบเห็นได้ทั่วไป ความอ้วนนำไปสู่ปัญหาสุขภาพหลายอย่าง ทั้งโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และยังส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยาบางชนิดด้วย นักวิทยาศาสตร์จึงถือว่าภาวะอ้วนเป็น "โรค" ชนิดหนึ่ง ความอ้วนจึงไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เพราะอาจทำให้เจ็บ ป่วย ตาย รวมทั้ง หาแฟนยาก



            อันที่จริงสาเหตุของความอ้วนก็ไม่มีอะไรซับซ้อน คือ เราได้รับพลังงาน (กิน) มากกว่าใช้พลังงาน (ออกกำลัง) จึงเกิดการสะสมพลังงานไว้ในรูปไขมัน (อ้วน) เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ถ้าไม่อยากอ้วนก็แค่ รับพลังงานให้เท่ากับใช้พลังงาน ส่วนคนที่อยากลดความอ้วนก็กินให้น้อยกว่าพลังงานที่ใช้ไป ง่ายๆ แค่นี้เอง
           ถ้ามันง่ายอย่างที่กล่าวมา โลกนี้คงไม่มีคนอ้วน แต่ที่เดินอ้วนกันอยู่เต็มไปหมด ก็เพราะคนเรามักกินมากกว่าที่ใช้ไปอยู่เสมอ และมักถูกดึงดูดเข้าหาอาหารหวานๆ มันๆ อย่างเพื่อนผมนี่ แม้จะกินข้าวขาหมูมันย่องจนอิ่มแล้ว แต่ถ้ามีของหวานอย่างเค้ก หรือไอศครีม มาวางตรงหน้า ก็ยังสามารถกินต่อได้จนหมด แถมยังมาอ้างว่า "ของคาวกับของหวานมันแยกกระเพาะกัน" อีกต่างหาก
           โดยทั่วไป สิ่งมีชีวิตจะมีกลไกควบคุมสมดุลของสารต่างๆ ในร่างกายให้เป็นปกติอยู่เสมอ ตัวอย่างเช่น สมดุลของน้ำในร่างกายถูกควบคุมโดยฮอร์โมนอย่างน้อย 2 ชนิด ขณะที่ร่างกายขาดน้ำฮอร์โมนชนิดหนึ่งจะกระตุ้นให้รู้สึกกระหายน้ำ เมื่อร่างกายได้รับน้ำเพียงพอ ร่างกายก็จะหยุดหลั่งฮอร์โมน หรือหากได้รับน้ำมากเกินไปฮอร์โมนอีกชนิดก็จะกระตุ้นให้ร่างกายขับถ่ายน้ำส่วนเกินออกในรูปปัสสาวะ ด้วยกลไกควบคุมนี้ เราจึงไม่เคยดื่มน้ำมากเกินไปจนเกิดอันตราย
           แต่ในเรื่องการกินอาหาร ดูเหมือนเราจะไม่รู้ว่าต้องกินมากแค่ไหนถึงจะ "พอ" เราสามารถกินได้เรื่อยๆ แม้จะรู้สึกอิ่มแล้วก็ตาม ทำไมคนเราถึงตะกละขนาดนี้? ทำไมคนเราถึงหลงใหลในรสชาติ ของหวานๆ ของมันๆ มากขนาดนี้? ทั้งที่งานวิจัยมากมายชี้ว่าการบริโภคน้ำตาลและไขมันมากเกินไป เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่เราก็ยังไม่อาจห้ามใจตัวเอง ไม่ให้กินเกินกว่าที่จำเป็นได้ โดยเฉพาะ เมื่อเห็น เค้ก โดนัท หรือช็อกโกแลต

           ทำไมธรรมชาติจึงสร้างสัญชาตญาณการกินของคนให้มาทำร้ายสุขภาพของตัวเอง? แนวคิดที่ยอมรับกันมากที่สุดอธิบายไว้ว่า สัญชาตญาณแบบนี้เป็นประโยชน์ และจำเป็นต่อความอยู่รอดของมนุษย์สมัยดึกดำบรรพ์ เพราะในสมัยนั้นอาหารเป็นของหายาก กว่าจะหามากินได้แต่ละมื้อต้องเสี่ยงชีวิตออกไล่ล่าสัตว์ หรือเข้าป่าไปเก็บผักผลไม้ และแม้จะได้อาหารมาอย่างยากลำบากก็ไม่สามารถเก็บไว้ได้นานเพราะไม่มีตู้เย็น กินไม่หมดก็เน่าทิ้งสถานเดียว
           อาหารจึงเป็นสิ่งล้ำค่าเพราะไม่มีความแน่นอนว่าจะได้กินเมื่อไหร่  สัญชาตญาณตะกละจึงวิวัฒนาการขึ้น กระตุ้นให้เรากินๆๆ แบบไม่ต้องยั้ง ยิ่งอาหารที่มีโปรตีนสูง น้ำตาลสูง และไขมันสูง ยิ่งเป็นของล้ำค่า ต้องกินเข้าไป ถึงอิ่มแล้วก็กินเข้าไปอีก ระบบร่างกายเองก็ทำงานสอดคล้องกันเป็นอย่างดี เนื่องจากไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนจะได้กินอีก เมื่อได้พลังงานมาร่างกายก็พยายามเก็บสะสมไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมไว้ตามหน้าท้อง เอว ต้นแขน ต้นขา ฯลฯ

           สัญชาตญาณที่กล่าวมาก็นับว่าเหมาะสมกับวิถีชีวิตในสมัยนั้น และช่วยให้เราอยู่รอดมาถึงยุคนี้ ยุคสมัยที่มองไปทางไหนมีอาหารเพียบ คนไม่ต้องดิ้นรนเสาะหาอาหารเหมือนสมัยก่อน มีอาหารพร้อมให้เรากินทุกเมื่อ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกินไม่ยั้งเหมือนแต่ก่อน แต่เราก็ยังติดนิสัยการกินแบบเดิมมา 
           การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนจากการหาอาหารจากธรรมชาติ มาเป็นการผลิตอาหารด้วยการเกษตรและอุตสาหกรรม เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นรวดเร็วมาก จนวิวัฒนาการตามไม่ทัน ยังไม่สามารถวิวัฒนาการจนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินให้สอดคล้องกับสภาพสังคมและวิถีชีวิตปัจจุบัน
           นอกจากพฤติกรรมการกินที่เปลี่ยนไปแล้ว การใช้ชีวิตประจำวันของเราก็เปลี่ยนแปลงไป ทุกวันนี้มีค่านิยมว่าชีวิตที่ประสบความสำเร็จคือ ได้ใช้ชีวิตแบบสบายๆ ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องทำงานหนัก แต่มีกินมีใช้อย่างเหลือเฟือ ใครที่ยังทำงานหนัก ยังต้องขยันทำงาน แสดงว่าชีวิตยังไม่ประสบความสำเร็จ เห็นได้จากคำเชิญชวนจำนวนมากที่ส่งมาทางอีเมลล์หรือสังคมเครือข่ายเพื่อเสนอ "งานสบาย รายได้ดี ชีวิตมั่นคง"
           เมื่อสภาพแวดล้อมรอบตัวเต็มไปด้วยอาหารอร่อยมากมาย รวมกับค่านิยมรักสบาย กลายเป็นว่าเรากินมากขึ้น ง่ายขึ้น และยังใช้พลังงานน้อยลง จึงเกิดการสะสมไขมันจำนวนมาก ผลลัพธ์ก็คือ "อ้วน" กันเต็มบ้านเต็มเมือง



ลดความอ้วน


           เมื่อมีคนอ้วนมากขึ้น "ความผอม" และ "รูปร่างดี" จึงกลายเป็น "สินค้า" ที่มีผู้เสนอขายจำนวนมาก โดยมีกลยุทธทางการตลาดคือ ประโคมโฆษณา ตอกย้ำให้เชื่อว่ารูปร่างต้องผอมเพรียวอย่างนางแบบเท่านั้นจึงจะดึงดูดเพศตรงข้าม  มาตรฐานของรูปร่างดีทุกวันนี้จึงกลายเป็นรูปร่างผอมแห้งไป ค่านิยมความผอมซึ่งสวนทางกับวิถีชีวิตอย่างมากนี้ ทำให้คนหมกมุ่นอยู่กับการทำให้ตัวเองมีรูปร่างผอมบาง 

           คนยอมทำทุกอย่างเพื่อให้มีรูปร่างดี ยกเว้นออกกำลังกาย ทั้งที่มีความใฝ่ฝันอยากมีรูปร่างดีอย่างในอุดมคติ แต่ในทางกลับกันก็ไม่อยากเหนื่อย ไม่อยากลำบาก อยากได้วิธีง่ายๆ สูตรสำเร็จ หรือทางลัด เพื่อให้มีรูปร่างดี จึงเป็นช่องให้ใครต่อใครเข้ามาแสวงหาผลกำไรจากความปราถนานี้ เห็นได้จากสินค้าสารพัดรูปแบบที่เกี่ยวข้องกับการลดความอ้วน ลดน้ำหนัก ทำให้รูปร่างดี มีทั้งที่เป็นอุปกรณ์ อาหารเสริม ยา ไปจนถึงบริการต่างๆ ซึ่งล้วนแล้วนำเสนอ "วิธีง่ายๆ ในการลดความอ้วน" โดยอวดอ้างสรรพคุณขั้นเทพ เช่น เผาผลาญไขมัน สร้างกล้ามเนื้อ กระชับสัดส่วน ลดได้ภายใน 10 วัน ไม่โยโย่ และที่สำคัญ "ไม่เหนื่อย" สามารถลดความอ้วนได้โดยคุณไม่ต้องทำอะไรเลย (แค่จ่ายเงินมาก็พอ)




           ทางฝั่งผู้ซื้อก็ดูเหมือนจะเต็มใจที่จะเสียเงินซื้ออุปกรณ์ลดความอ้วนสารพัดอย่างมาใช้ ทั้งสายเขย่าพุง ชุดชั้นในลดความอ้วน ยอมเสี่ยงกินยาขนานต่างๆ ด้วยความหวังว่าจะได้ผล แม้ว่าคำโฆษณาจะฟังดูเหลือเชื่อและไม่สมเหตุสมผลแค่ไหนก็ตาม แต่ถ้าโฆษณาว่าเป็นวิธี "ง่ายๆ" ก็จะยังมีผู้ทดลองใช้ โดยคิดว่าลองดูก็ไม่เสียหาย และก็ได้ปรากฏให้เห็นเป็นข่าวอยู่บ่อยๆ ว่า มีผู้เสียชีวิตจากการกินยาลดความอ้วน ซึ่งคนเหล่านี้คือผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ

ชุดกระชับสัดส่วนอินฟาเรด ภายในชุดจะประกอบด้วยเม็ดอินฟาเรดจำนวนมาก โดยที่ในแต่ละเม็ดนั้นจะประกอบไปด้วย ผงแม่เหล็กฟราอินฟราเรด ถึง 20% เม็ดอินฟาเรดนี้จะทำปฏิกิริยากับความร้อนภายในร่างกาย ซึ่งจะช่วยเพิ่มการเผาผลาญอาหารในร่างกาย ทำให้การไหลเวียนโลหิตดีขึ้น รวมไปถึงช่วยในการ กระชับสัดส่วน ลดไขมัน และช่วยปรับระบบดูดซึมของร่างกายอีกด้วย
เทคโนโลยีใหม่จากประเทศญี่ปุ่นนั้น เม็ดแร่ธรรมชาติ จะถูกอัดแน่นจนเป็นผง เรียกว่า จะไม่มีปุ่มปูดๆ ออกมาเหมือนรุ่นก่อนๆ ไม่จำเป็นต้องใส่ชุดในเวลากลางคืน และที่สำคัญควรใส่ทุกวันๆ ละ 8 ชั่วโมง ในระยะเวลาติดต่อกัน 1-2 เดือน ถ้าต้องการเห็นผลอย่างชัดเจน และจะได้เห็นรูปร่างสวยงามและสมส่วนตามที่ใจคุณต้องการ 


คุณกำลังประสบปัญหาเหล่านี้ใช่ไหม ?
1.ต้นแขน ต้นขา บั้นท้าย และสะโพก มีเซลลูไลท์สะสม (ผิวเปลือกส้ม) 2.ก้นย้อย ไม่กระชับ 3.หน้าท้องห้อยย้อย
4.เนื้อเหลว รูปร่างไม่ฟิต & เฟิร์ม 5.ไม่มีส่วนเว้า ส่วนโค้ง ดูไม่สมส่วน

คงปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีเวลาในการบริหารร่างกาย จากเหตุผลนี้เองที่สมาคมแพทย์และนักกายภาพจากประเทศอิตาลี ร่วมกันคิดค้นเทคโนโลยีในที่ช่วยเสริมการสร้างมวลกล้ามเนื้อและกระชับสัดส่วน ลดปัญหาความหย่อยคล้อย และสลายเซลลูไลท์ที่สะสมตามโดย
ส่งคลื่นความถี่ต่ำเข้าไปกระตุ้นให้กล้ามเนื้อมีการหดและคลายตัวเป็นจังหวะๆ ทำให้กล้ามเนื้อกระชับแข็งแรง ทำให้เลือดและออกซิเจนไหลเวียนสะดวกและช่วยทำให้ไขมันที่เกาะกันอย่างหนาแน่นแตกตัว นับว่าเป็นเป็นเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ของคนยุคนี้อย่างแท้จริง


            การลดความอ้วนด้วยยาเป็นทางเลือกที่เสี่ยงอันตรายมากกว่าทางอื่น วิธีการลดความอ้วนอย่างการใช้อุปกรณ์ต่างๆ หากไม่ได้ผลก็แค่เสียค่าโง่ เสียเงินค่าลองเท่านั้น แต่การกินยาหากผิดพลาดขึ้นมาอาจทำให้เสียชีวิตได้ ยาที่นำมาใช้ในการลดความอ้วนแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลักๆ คือ กลุ่มที่ยับยั้งการดูดซึมสารอาหารของลำไส้ และกลุ่มที่ยับยั้งความอยากอาหารโดยตัวยาจะออกฤทธิ์กดประสาทที่สมอง ซึ่งยาทั้ง 2 กลุ่ม ก็เป็นอันตรายพอๆ กัน จึงควรใช้เมื่อจำเป็น เช่น การรักษาโรคอ้วนที่ผิดปกติมากๆ โดยมีแพทย์คอยดูแลอย่างใกล้ชิด ไม่ใช่ใช้เพื่อเสริมความงามอย่างพร่ำเพื่อ
            เนื่องจากความอ้วนนำไปสู่ปัญหาสุขภาพมากมาย ในวงการวิทยาศาสตร์ก็พยายามศึกษากลไกต่างๆ ในร่างกาย ที่เกี่ยวข้องกับความอ้วน ด้วยความหวังว่าหากสามารถแก้ปัญหาเรื่องความอ้วนได้ จะเป็นการแก้ปัญหาสุขภาพอื่นๆ ด้วย 
             เมื่อนานมาแล้ว (2493) นักวิทยาศาสตร์พบว่าร่างกายมีกลไกควบคุมความอ้วนอยู่ จากการศึกษาหนูทดลองที่อ้วนผิดปกติ พบว่าหนูที่อ้วนมากๆ นั้น มีความผิดปกติในการสร้างฮอร์โมนที่ชื่อว่า เลปติน (Leptin)ฮอร์โมนนี้สร้างขึ้นจากเซลล์ไขมัน (adipose cell) ซึ่งมีหน้าที่ตามชื่อ คือ ทำหน้าที่เก็บสะสมไขมันที่ร่างกายได้รับมา เมื่อเซลล์ไขมันสะสมตามหน้าท้องมากขึ้น จะเริ่มผลิตเลปตินเข้าสู่กระแสเลือดส่งไปยังสมองเพื่อยับยั้งความอยากอาหาร หนูที่ขาดฮอร์โมนเลปติน จึงอยากอาหารตลอดเวลา สามารถกินอาหารทั้งวัน จึงอ้วนเอาๆ เมื่อลองฉีดเลปตินให้หนูอ้วนปรากฏว่าหนูอ้วนกินอาหารน้อยลง จนกระทั่งกลับมามีหุ่นผอมเพรียวในที่สุด






หนูที่ขาดฮอร์โมนเลปติน (ซ้าย) อ้วนกว่าหนูปกติ (ขวา)

             แน่นอนว่าคนก็มีฮอร์โมนเลปตินเช่นเดียวกัน การทดลองในหนูทำให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า คนที่อ้วนเกิดจากร่างกายผลิตฮอร์โมนเลปตินได้น้อย หรือฮอร์โมนเลปตินทำงานได้ไม่ดี นำไปสู่แนวคิดในการให้ฮอร์โมนเลปตินเสริม เพื่อลดความอยากอาหาร และลดความอ้วน นับว่าเป็นแนวคิดที่สั่นสะเทือนวงการลดน้ำหนักอย่างมาก เพราะเป็นสารที่ร่างกายผลิตได้เองอยู่แล้ว จึงไม่เป็นอันตรายเหมือนการใช้สารเคมีอื่น
             แต่เมื่อศึกษาอย่างละเอียดกลับต้องผิดหวัง เพราะคนอ้วนกลับไม่ได้มีฮอร์โมนเลปตินน้อยกว่าคนรูปร่างปกติปกติแต่อย่างใด ตรงกันข้ามคนอ้วนกลับมีระดับของเลปตินในกระแสเลือดสูงกว่าคนทั่วไปหลายเท่ากลายเป็นว่าคนอ้วนไม่ได้ขาดเลปตินแต่ สมอง "ดื้อ" ต่อฤทธิ์ของเลปตินต่างหาก แม้เซลล์ไขมันที่มีอยู่มากมายจะผลิตเลปตินส่งไปยังสมอง แต่สมองกลับเพิกเฉยไม่ลดความอยากอาหารลง การฉีดเลปตินเพิ่มจึงไม่สามารถช่วยลดความอยากอาหารลงได้ อย่างไรก็ตามยังมีผลิตภัณฑ์อาหารที่ผสมเลปตินและอ้างว่าช่วยลดความอ้วนขายอยู่ 

            ล่าสุดมีความหวังใหม่เกิดขึ้น เพราะนักวิทยาศาสตร์ค้นพบแนวทางใหม่ในการควบคุมความอยากอาหารแล้ว ฮอร์โมนเกรลิน (Ghrelin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีฤทธิ์ตรงข้ามกับเลปติน คือ กระตุ้นให้เกิดความอยากอาหาร ฮอร์โมนนี้ผลิตจากเซลล์กระเพาะอาหารส่วนต้น (fundus) และส่งไปยังสมอง แนวคิดในการลดความอ้วนก็คือ ยับยั้งเกรลินไม่ให้ไปกระตุ้นสมอง ซึ่งมีข่าวดีว่านักวิทยาศาสตร์สามารถคิดค้นสารยับยั้งฮอร์โมนเกรลินได้แล้ว
           ถึงตรงนี้หลายคนอาจจะแย้งว่าถ้าให้ยาเข้าไปยับยั้งฮอร์โมนเกรลิน ยาที่เป็นสารเคมีอาจะทำให้เกิดอันตรายได้ ไม่ต่างกับพวกยาลดความอ้วนทั่วๆ ไป แต่ที่จริงแล้วสารยับยั้งที่นักวิทยาศาสตร์ออกแบบมานั้นใช้วิธีการที่ชาญฉลาดกว่านั้น คือ นำฮอร์โมนเกรลินเองมาดัดแปลงโครงสร้างเล็กน้อย เพื่อให้เป็นตัวยับยั้ง ซึ่งเพิ่งทำได้สำเร็จเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ (2553) การจะเข้าใจเทคนิดในการสร้างตัวยับยั้งนี้ จะต้องอธิบายถึงกระบวนการทำงานของฮอร์โมนเกรลินสักเล็กน้อย
            ฮอร์โมนเกรลินเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง หลังจากที่หลั่งออกมาจากเซลล์กระเพาะอาหารแล้ว ยังไม่สามารถไปกระตุ้นสมองให้รู้สึกอยากอาหารได้ทันที แต่จะต้องผ่านกระบวนการต่อกรดไขมันออกตาโนอิล (Octanoylation) ก่อน จึงจะสามารถทำงานได้ เอนไซม์ที่รับผิดชอบต่อกระบวนการนี้ คือ ghrelin O-acyltransferase หรือเรียกย่อๆ ว่า GOAT 
            เอนไซม์ GOAT จะจับกับ Acetyl-CoA และ เกรลิน และเร่งปฏิกิริยา ย้ายกรดไขมันจาก Acetyl-CoA ไปต่อกับเกรลิน นักวิทยาศาสตร์ได้สร้างสารยับยั้งกระบวนการนี้ โดยนำเกรลินมาต่อกับ Acetyl-CoA และดัดแปลงอีกเล็กน้อย ได้เป็นสารที่ชื่อว่า GO-CoA-Tat ซึ่งมีรูปร่างคล้ายทั้ง Acetyl-CoA และ เกรลิน สามารถหลอกเอนไซม์ GOAT ให้เข้ามาจับได้แต่จะไม่เกิดปฏิกิริยาใดๆ ผลก็คือ เอนไซม์ GOAT ไม่สามารถทำให้เกรลินที่ถูกสร้างขึ้นตามปกติเปลี่ยนไปอยู่ในรูปที่สามารถทำงานได้ จึงไม่สามารถกระตุ้นให้อยากอาหาร

           GO-CoA-Tat ได้ทดสอบในหนูแล้วว่าช่วยลดน้ำหนักลงได้ รวมทั้งการทดสอบในเซลล์ของคน (เซลล์จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ) ก็แสดงให้เห็นว่ายับยั้งฮอร์โมนเกรลินได้ จึงมีแนวโน้มว่า GO-CoA-Tat อาจสามารถพัฒนาไปเป็นยารักษาโรคอ้วนได้

           เมื่อมียาที่กินแล้วไม่หิว ไม่อยากอาหารออกมา คงขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แต่ก็ยังไม่แน่ว่าจะได้ผล เพราะคนไม่ได้กินอาหารเพราะ "หิว" เพียงอย่างเดียว แต่กินเพราะ "อยาก" มากกว่า และความอยาก โดยเฉพาะของมนุษย์เป็นเรื่องซับซ้อน การกินแต่ละครั้งไม่ได้ทำเพื่อดำรงชีวิตอยู่เท่านั้น แต่ยังเพื่อตอบสนองความต้องการบางอย่างอีกด้วย เนื่องจากความอยาก (อาหาร) เกิดขึ้นจากจิตใจของเราเอง หากคิดจะลดความอยากให้ได้ผลก็ควรจัดการกับจิตใจให้ได้ สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งจิตใจของเราเอง

           และถึงแม้ว่ายานี้จะใช้ได้ผล แต่การที่มีรูปร่างดี ไม่ได้หมายความว่ามีสุขภาพดี สิ่งที่สำคัญกว่ารูปร่างสวยงามภายนอก คือ สุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์ แข็งแรง ซึ่งได้จากการกินอาหารให้เหมาะสมและการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเท่านั้น สิ่งเหล่านี้ไม่อาจทดแทนโดยการกินอาหารเสริมหรือการกินยาใดๆ ได้ เพราะสุขภาพดีไม่มีทางลัด ครับ

 

 10 อันตรายเมื่อเข้าข่าย อ้วน


           นับวันที่เข็มบนหน้าปัดตราชั่งน้ำหนักเบนไปทางขวามากขึ้นเรื่อย ๆ โรคร้ายมากต่อมากทั้งทางร่างกายและจิตใจ กำลังเดินตามหลังไปอย่างติด ๆ และฆ่าคุณอย่างเลือดเย็นในที่สุด... นี่คือเหตุผลสำคัญที่คุณต้องลดน้ำหนักเสียแต่วินาทีนี้

           
อ้วน ! อันตราย
           เมื่อคำนวณน้ำหนักตัวและสัดส่วน แน่ใจว่ากำลังอยู่ในข่ายน้ำหนักมากเกินพิกัด จนเข้าสู่ภาวะโรคอ้วน (obesity) ก็ได้เวลาแล้วที่คุณต้องตั้งโปรแกรมลดน้ำหนักโดยด่วน เพื่อเป็นการต่อชีวิตคุณให้ยาวขึ้น และป้องกันปัญหาที่อาจตามมามากมาย อย่างน้อย ๆ ก็ 10 ประการต่อไปนี้

          
หัวใจวายวอด   
           พฤติกรรมการกินผิด ๆ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน เช่น กินอาหารที่มีปริมาณไขมันมากหรือมีคอเลสเตอรอล (ชนิดเลว: LDL) สูง ได้แก่ เนื้อสัตว์ติดมัน เครื่องในสัตว์ ไข่ นม เนย พืชบางชนิด ฯลฯ เมื่อกินเข้าไปมาก ร่างกายเผาผลาญไม่หมด ไขมันและคอเลสเตอรอลจะถูกเก็บไว้ในเซลล์ไขมัน บางส่วนเวียนว่ายอยู่ในกระแสเลือด ยิ่งนานวันระดับไขมันและคอเลสเตอรอลจะยิ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งหากไปตรวจเลือด แล้วพบว่าสูงเกินกว่า 200 มิลลิกรัมเปอร์เซนต์ ถือเป็นระดับเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน

           ผู้ป่วยมักมีอาการเจ็บหน้าอกรุนแรง กินเวลานานและถี่ขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นผลจากไขมัน และคอเลสเตอรอลในเลือดเข้าเกาะจับผนังหลอดเลือดหัวใจ จนเกิดการอุดตัน ไม่สามารถผ่านเข้า-ออก เพื่อหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้ กระทั่งหัวใจล้มเหลวหรือหัวใจวายในที่สุด กรณีเดียวกัน หากเกิดที่เส้นเลือดในสมองก็จะกลายเป็นอัมพาต เกิดที่เส้นเลือดหล่อเลี้ยงไตก็เป็นโรคไตวาย

           
 ความดันเลือดสูง   
           โรคนี้ได้ชื่อว่าเป็นฆาตกรเงียบ เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่มีอาการผิดปกติ รู้ตัวอีกทีอาจรุนแรงถึงขั้นเส้นเลือดในสมองตีบตันและแตกได้ง่าย กลายเป็นอัมพาต อัมพฤกษ์ เป็นโรคหัวใจโต เป็นโรคไต ปัสสาวะเป็นเลือด ความรู้สึกทางเพศลดลง หรือตาบอด

           แม้ความอ้วนไม่เชิงเป็นสาเหตุของโรคนี้เสียทีเดียว แต่ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ความดันเลือดสูงกว่าระดับปรกติ เนื่องจากพอน้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้น หัวใจจะทำงานหนักตาม เพราะต้องส่งเลือดไปเลี้ยงให้ทั่วถึงทุกส่วนของร่างกาย ถ้าเทียบง่าย ๆ หัวใจของคนผอมบีบตัวเพียงครั้งเดียว ก็ส่งเลือดไปเลี้ยงได้ทั่วตัวแล้ว แต่หัวใจของคนอ้วนต้องบีบ 2 - 3 ครั้งจึงจะได้ผลเท่ากัน การที่หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นอย่างนี้ จึงเป็นปัจจัยหนึ่งของโรคความดันเลือด สูง ยิ่งถ้าบวกกับเป็นโรคไขมันอุดตันที่เส้นเลือดด้วยแล้ว อาจเลวร้ายถึงกับหัวใจล้มเหลว และเสียชีวิตได้

           
เบาหวาน...โรคที่ไม่เบา และไม่หวานเลย    
           โรคเบาหวานมี 2 ชนิดด้วยกัน ที่พบเห็นบ่อย ๆ คือชนิดไม่พึ่งอินซูลิน สาเหตุเกิดจากตับอ่อนของผู้ป่วยสามารถสร้างฮอร์โมนอินซูลินได้น้อย ทำให้ร่างกายเผาผลาญน้ำตาลให้เป็นพลังงานได้ไม่หมด น้ำตาลในเลือดจึงสูงขึ้น สถานการณ์อย่างนี้ไตต้องรับบทหนัก เพื่อกรองของเสียออกจากเลือด นานวันเข้าไตอาจเสื่อมสภาพและเกิดโรคไตวายเรื้อรัง เท่านั้นยังไม่พอ เบาหวานยังปัจจัยสำคัญ ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดตีบตันได้ในทุกส่วนของร่างกาย (ยิ่งมีระดับไขมันและคอลเลสเตอรอลในเลือดสูงยิ่งเสี่ยงมาก) เช่น อัมพฤกษ์ อัมพาต โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ฯลฯ ต้อกระจก ตาบอดจากเบาหวานขึ้นตา หมดความรู้สึกทางเพศ ชาหรือปวดร้อนตามปลายมือปลายเท้า และความดันโลหิตสูงอีกด้วย

           คนอ้วนส่วนมากชอบกินหวานเป็นชีวิตจิตใจ ยิ่งเอื้อต่อการเป็นโรคนี้มากขึ้น แถมคนที่อ้วนมาก ๆ มักจะพบปัญหาเรื่องเหงื่อออกง่าย เกิดความอับชื้นตามข้อพับต่าง ๆ ผิวหนังเสียดสีกันจนเกิดแผลมีเลือดออก พุพอง ยิ่งคนอ้วนที่เดินไม่ได้ ต้องนอนอยู่ตลอดเวลาก็จะเกิดแผลกดทับได้ง่าย หากเป็นโรคเบาหวานร่วมด้วยแล้ว แผลมักหายยากและติดเชื้อง่าย ซึ่งอาจลุกลามจนต้องตัดอวัยวะบางส่วนทิ้งเลยทีเดียว

            
"มะเร็ง" โรคไม่มีหัวนอนปลายเท้า   
           มะเร็งเกี่ยวข้องกับโรคอ้วนตรงไหน? ก็ตรงที่คนอ้วนมีเซลล์ไขมันมากกว่าคนปรกติ ซึ่งนอกจากเซลล์ไขมันจะเป็นแหล่งสะสมฮอร์โมนแล้ว ไขมันเหล่านี้ยังสามารถกลายเป็นฮอร์โมนเพศได้ ดังนั้นยิ่งไขมันมากก็ยิ่งสร้างฮอร์โมนได้มาก ซึ่งจะไปกระตุ้นอวัยวะเพศ ในผู้หญิงได้แก่ เยื่อบุโพรงมดลูก รังไข่ ต่อมและท่อน้ำนม หรือที่ต่อมลูกหมากของผู้ชาย เมื่อถูกกระตุ้นนานเข้าอาจกลายเป็นเนื้อร้าย โดยเฉพาะผู้หญิงอ้วน มักมีความเสี่ยงมะเร็งเต้านมสูงกว่ามะเร็งชนิดอื่น ๆ

           เมื่ออายุ 35 ปีขึ้นไป ผู้หญิงควรเข้ารับการตรวจมะเร็งเต้านมด้วยวิธีแมมโมแกรม และมะเร็งปากมดลูกอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง แต่ถ้าเป็นโรคอ้วนร่วมด้วยแล้วควรเพิ่มความถี่ให้มากขึ้น อย่างน้อย 6 เดือนครั้ง

           
ชีวิตนี้หลับไม่เป็นสุข   
           สาเหตุที่คนอ้วนส่วนใหญ่มักนอนกรน เพราะว่าเมื่อคนเราอ้วนขึ้นเนื้อเยื่อต่าง ๆ ก็จะขยายขนาดขึ้นรวมถึงบริเวณช่องทางเดินหายใจ จนถึงกับไปปิดกั้นทางเดินอากาศให้แคบลง เมื่อหายใจเอาอากาศเข้าไป ผ่านช่องแคบ ๆ ก็จะเกิดเสียงดังขณะนอนหลับ ที่น่ากลัวคือเมื่อรุนแรงมากขึ้นจนกระทั่งอากาศไม่สามารถผ่านเข้า - ออกได้เลย กลายเป็นภาวะหยุดหายใจชั่วขณะ หากร่างกายขาดออกซิเจนบ่อย ๆ เข้าก็อาจทำให้มีอาการขาดออกซิเจนเรื้อรัง มึนงง อยากจะนอนอยู่ตลอดเวลา สมองตื้อ เฉื่อยชา ความคิดความอ่านแย่ลง บางคนถึงกับหมดสติ หรือช็อกไปเลยก็มี

           หลายคนคงนึกไม่ถึงว่า การนอนกรนยังเป็นต้นเหตุของโรคร้ายแรงต่าง ๆ มากมายด้วย ไม่ว่าจะเป็นโรคความดันเลือดสูง โรคเส้นเลือดแดงตีบตัน ซึ่งมักพ่วงโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต และโรคหัวใจมาด้วย โรคเบาหวาน โรคสมองเสื่อม และสมรรถภาพทางเพศเสื่อม

           
ข้อเสื่อม    
           คำแนะนำของหมอที่รักษาโรคข้อเข่าเสื่อม มักจะลงท้ายด้วยการให้ผู้ป่วยจำกัดอาหารมันและหวาน เพื่อมิให้น้ำหนักเกินพิกัด หรือลดน้ำหนักในรายที่อ้วน เพราะยิ่งน้ำหนักตัวมากขึ้น ภาระทั้งหมดจะไปอยู่ที่กระดูกทันที กระดูกต้องทำหน้าที่อย่างหนักในการพยุงน้ำหนักตัวส่วนเกิน มันจึงเสื่อมและผุเร็วกว่าปรกติ โดยเฉพาะข้อต่าง ๆ เช่น ข้อเท้า ข้อเข่า ข้อสะโพก ข้อกระดูกคอ ข้อกระดูกสันหลัง ฯลฯ ก็พลอยได้รับวิบากกรรมนี้ด้วย ทำให้เกิดอาการปวด ข้อบวม นั่งแล้วลุกไม่ขึ้น หนัก ๆ เข้าอาจกลายเป็นโรคข้ออักเสบ บางครั้งร้ายแรงจนไม่สามารถเดินได้เลย

          จิตป่วน   
           ผู้หญิงบางคนไม่อ้วนเลยสักนิด แต่ก็ยังพากันบ่นว่าตัวเองอ้วน จึงตั้งหน้าตั้งตาลดความอ้วนโดยไม่คำนึงถึงขีดจำกัดทางด้านร่างกาย สุดท้ายต้องมาสังเวยชีวิตด้วยโรคทางจิตใจที่ชื่อว่า บูลิเมียและอนอเร็กเซีย

           ผู้ป่วยบูลิเมีย จะมีอาการอยากกินอาหารอย่างมาก จนบังคับตัวเองไม่ได้ แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกผิดและไม่สบายใจจึงต้องล้วงคอให้อาเจียน กินยาถ่ายในทันที หรือสวนทวาร ฯลฯ คือทำทุกวิถีทางให้อาหารออกมา แต่นานวันเข้าจะก่อให้เกิดความผิดปรกติของร่างกายอย่างมาก ทั้งระบบขับถ่ายเสียศูนย์ ร่างกายขาดน้ำ ขาดสารอาหาร และมีปัญหาการไหลเวียนของเลือด ซึมเศร้า มีปัญหาครอบครัว การเรียน การทำงาน โรคนี้แม้จะรักษาให้หายโดยการบำบัดทางจิต แล้วก็สามารถกลับมาเป็นได้อีก

           อีกโรคหนึ่งคืออนอเร็กเซีย ผู้ป่วยมักรู้สึกมีปมด้อย อับอายในรูปร่างของตนเองจึงพยายามไม่กินอะไรเลยเพื่อลดความอ้วน ทำทุกวิธีเพื่อลดความอ้วน เช่นเดียวกับผู้ป่วยบูลิเมียเพราะมักจะคิดว่าตัว เองอ้วนอยู่ตลอดเวลา ผลจากการกระทำนี้ส่งผลเสียต่อร่างกายคล้าย ๆ กับผู้ป่วยบูลิเมีย รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้เช่นกัน

           
เตียงหัก !
           ปรกติคนที่มีรูปร่างอ้วน เวลาทำอะไรก็เคลื่อนไหวตัวไปมาลำบากอยู่แล้ว ยิ่งถ้าเป็นการมีเพศสัมพันธ์ก็จะทำให้เคลื่อนไหวยากลำบากมากขึ้น ไม่สามารถทำได้ทุกท่วงท่าที่ต้องการ นอกจากนี้ผู้ชายที่มีรูปร่างอ้วนอย่างมากจะส่งผลให้อวัยวะเพศสั้นลง ทำให้ขณะร่วมเพศไม่มีความสุขเท่าที่ควร และที่สำคัญเสปิร์มไม่สามารถเข้าไปถึงไข่ของผู้หญิงได้ เป็นเหตุให้มีลูกยาก ผู้หญิงก็เช่นกันถ้าอ้วนมาก ไขมันสะสมบริเวณปากมดลูกก็จะมากทำให้ชั้นเนื้อหนาขึ้น อวัยวะเพศชายไม่สามารถเข้าถึงเพื่อส่งเสปิร์มไปปฏิสนธิกับไข่ได้ และอัตราการตกไข่ของผู้หญิงอ้วน ยังน้อยกว่าผู้หญิงที่มีน้ำหนักในเกณฑ์พอดีอีกด้วย อีกทั้งต้องเจอปัญหาสมรรถภาพทางเพศเสื่อม หรือหมดความรู้สึกทางเพศไปเลย ถ้าไม่เข้าใจกัน ก็อาจถึงกับต้องแยกทางกันหรือเตียงหักรักร้าวนั่นเอง

            
จะวางไว้ตรงไหนดีล่ะ ?   
           นอกจากจะต้องคิดหนักเรื่องเสื้อผ้าและการแต่งตัวแล้ว คนอ้วนมากมายโดยเฉพาะคนที่ไม่ค่อยมั่นใจ มักไม่รู้จะวางตัวอย่างไรในวงสังคมหรือหมู่เพื่อนฝูง ปัญหานี้กัดกร่อนและทำร้ายหัวใจพวกเขาอย่างมาก เพราะส่งผลต่อความเชื่อมั่นในตัวเอง บุคลิกท่าทางต่าง ๆ ขัดเขิน ซึมเศร้า ชอบคิดว่าไม่มีใครอยากคบด้วยจึงไม่ค่อยสมาคมกับใคร กลายเป็นการโทษและตำหนิตัวเอง ในที่สุดเป็นแรงกดนำไปสู่การลดความอ้วนด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้อง หรือมีความผิดปรกติทางจิตใจได้

           
ทายาท อ้วน   
           เด็กจะซึมซับพฤติกรรมการกิน และการใช้ชีวิตของพ่อแม่ที่เขาเคยชินมาตั้งแต่เกิด พ่อแม่ชอบกินหวาน กินอาหารไขมันมาก และกินจุ เขาก็จะกินแบบเดียวกัน พ่อแม่ไม่ส่งเสริมการออกกำลังกาย เขาก็จะไม่ชอบเล่นกีฬา ยิ่งเด็กที่ชอบดูทีวี เล่นเกมคอมพิวเตอร์ และวีดีโอเกม กิจกรรมการออกกำลังกายและการเคลื่อนไหวของเด็กจะลดลง สุดท้ายก็จะกลายเป็นเด็กอ้วน ซึ่งผลร้ายคือมีโรคต่าง ๆ ตามมารุมเร้า และมีปัญหาในการเข้ากลุ่มเพื่อน ๆ บางครั้งโดนล้อเลียนเรียกชื่อไปต่าง ๆ นานา เช่น เจ้าหมูอ้วน ตุ่มเดินได้ ฯลฯ เป็นปมด้อยฝังใจไปจนโต

         
  เห็นโทษภัยมากขนาดนี้แล้วหันมาลดความอ้วนกันดีกว่าค่ะ อย่ารอให้ฝันร้ายกลายเป็นจริงเลย แต่คนที่ไม่อ้วนคือ น้ำหนักไม่เกินมาตรฐานก็ไม่มีเหตุผลต้องลดแต่ประการใด เพียงควบคุมให้อยู่ในเกณฑ์พอดี ไม่อย่างนั้นอาจส่งผลร้ายต่อร่างกายพอ ๆ กับความอ้วนได้


ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จากHealth&Cuisine



สร้างเว็บแบบมืออาชีพได้อย่างง่ายๆ กับ เว็บไซต์สำเร็จรูปของ " สยามทูเว็บ " www.siam2web.com


เฉพาะสมาชิกเท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็นได้ กรุณา "เข้าสู่ระบบ" ก่อน เข้าสู่ระบบ
..

Advertising Zone    Close
 
Online:  1
Visits:  370,310
Today:  166
PageView/Month:  1,668

ยังไม่ได้ลงทะเบียน

เว็บไซต์นี้ยังไม่ได้ลงทะเบียนยืนยันการเป็นเจ้าของเว็บไซต์กับ Siam2Web.com